วันพุธที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โคลงโลกนิติ

โคลงโลกนิติเป็นสุภาษิตเก่าแก่ มีมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี นักปราชญ์ในครั้งนั้นได้สรรหา คำสุภาษิตที่เป็นภาษาบาลีและสันสกฤต ที่มีอยู่ในคัมภีร์ต่างๆ คือ คัมภีร์โลกนิติ คัมภีร์โลกนัย  ตลอดจนคัมภีร์พระธรรมบท แล้วนำมาแปลเป็นภาษาไทย โดยแต่งเป็นคำประพันธ์ คำโคลงทุกคาถา  รวมเรียกว่าโคลงโลกนิติ เป็นสุภาษิตที่บรรพบุรุษของไทยนับถือ นำไปเล่าเรียน สั่งสอน และประพฤติปฏิบัติกันอย่างกว้างขวาง เป็นที่รู้จักกันดี ในหมู่ประชาชนคนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกสถานะอาชีพต่อเนื่องกันมาช้านานจนถึงปัจจุบัน

     เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๗๔ ทรงมี        พระราชประสงค์จะให้ จารึกโคลงโลกนิติลงในแผ่นศิลาในวัดพระเชตุพนฯ เป็นธรรมทาน จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร รวบรวมโคลงโลกนิติของเก่ามาชำระแก้ไขใหม่ ให้เรียบร้อยปราณีตและไพเราะ เพราะของเก่าที่คัดลอกต่อ ๆ กันมา ปรากฎว่ามีถ้อยคำที่วิปลาศคลาดเคลื่อนไปมาก
     สุภาษิตที่ปรากฎในโคลงโลกนิติ ล้วนเป็นภาษิตที่นิยมนับถือกันว่า เป็นภาษิตที่เหมาะสม ที่จะใช้เป็นหลักประพฤติปฏิบัติ และนำไปสั่งสอนกันต่อไป
 
 
    ครรโลงโคลงโลกนิตินี้
มีแต่โบราณกาล 
เป็นสุภาษิตสาร 
กลดั่งสร้อยสอดคล้อง
  นมนาน 
เก่าพร้อง 
สอนจิต 
เวี่ยไว้ในกรรณ
 
   ทศนัขนอบน้อมมิ่ง
ไตรรัตน์จัดเบญจางค์  
จักพร้องโลกนิติปาง 
อรรถอื่นอ้างเลศล้อม
  อุตมางค์ 
แจ่มพร้อม 
สดับแต่  เดิมพ่อ 
ต่างต้องคัมภีร์
 
ถวายกรกรรพุ่มเพี้ยง
ไตรรัตน์เรียบไตรทวาร 
โลกนิติสืบสาร 
เตือนจิตสาธุชนเช้า
  บวรมาลย์มิ่งแฮ 
เวียดเกล้า 
ของเก่า 
ค่ำค้ำชูใจ
 
โลกนิติในโลกล้วน
คือบิดามารดาอาจารย์  
เชาเจ้าจ่อมใจบาณ 
เบิกศิลปปรีชาแท้
  แก่นสาร 
เจี่ยวแล้ 
ทิตร่ำ  เรียนแฮ 
เลิศแล้วเมธี
 
ปลาร้าพันห่อด้วย
ใบก็เหม็นคาวปลา 
คือคนหมู่ไปหา 
ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้ง
  ใบคา 
คละคลุ้ง 
คบเพื่อน  พาลนา 
เฟื่องให้เสียพงศ์
 
ใบพ้อพันห่อหุ้ม
หอมระรวยรสพา 
คือคนเสพเสน่หา 
ความสุขซาบฤาม้วย
  กฤษณา 
เพริศด้วย 
นักปราชญ์ 
ดุจไม้กลิ่นหอม
 
ผลเดื่อเมื่อสุกไซร้
ภายนอกแดงดูฉัน 
ภายในย่อมแมลงวัน 
ดุจดังคนใจร้าย
  มีพรรณ 
ชาดบ้าย 
หนอนบ่อน 
นอกนั้นดูงาม
 
ขนุนสุกสล้างแห่ง
ภายนอกเห็นหนามหนา  
ภายในย่อมรสา 
สาธุชนนั้นแล้
  สาขา 
หนั่นแท้ 
เอมโอช 
เลิศด้วยดวงใจ
 
ยางขาวขนเรียบร้อย
ภายนอกหมดใสสี 
กินสัตว์เสพปลามี 
เฉกเช่นชนชาติร้าย
  ดูดี 
เปรียบฝ้าย 
ชีวิต 
นอกนั้นนวลงาม
 
รูปแร้งดูร่างร้าย
ภายนอกเพียงพึงชัง  
เสพสัตว์ที่มรณัง 
ดังจิตสาธุชนกล้า
  รุงรัง 
ชั่วช้า 
นฤโทษ 
กลั่นสร้างทางผล
 
คนพาลผู้บาปแท้
ไปสู่หาบัณทิต 
ฟังธรรมอยู่เนืองนิตย์ 
คือจวักตักเข้า
  ทุรจิต 
ค่ำเช้า 
 บ่ทราบ ใจนา 
ห่อนรู้รสแกง
 
ผู้ใดใจฉลาดล้ำ
ได้สดับปราชญ์เจรจา  
ยินคำบัดเดี๋ยวมา 
คือมลิ้นคนผู้
  ปัญญา 
อาจรู้ 
ซับซาบ ใจนา 
ทราบรู้รสแกง
 
หมูเห็นสีหราชท้า
กูสี่ตีนกูพบ 
อย่ากลัวท่านอย่าหลบ 
ท่านสี่ตีนอย่าได้
  ชวนรบ 
ท่านไซร้ 
หลีกจาก กูนา 
วากเว้วางหนี
 
สีหราชร้องว่าโอ้
ทรชาติครั้นเห็นกู 
ฤามึงใคร่รบดนู 
กูเกลียดมึงกูให้
  พาลหมู 
เกลียดใกล้ 
มึงมาศ  เองนา 
พ่ายแพ้ภัยตัว
 
กบเกิดในสระใต้
ฤาห่อนรู้รสมาลย์ 
ภุมราอยู่ไกลสถาน 
บินโบกมาค้อยค้อย
  บัวบาน 
หนึ่งน้อย 
นับโยชน์  ก็ดี 
เกลือกเคล้าเสาวคนธ์
 
ใจชนใจชั่วช้า
ใจจักสอนใจเอง 
ใจปราชญ์ดัดตามเพลง 
ดุจช่างปืนดัดไม้
  โฉงเฉง 
ไป่ได้ 
พลันง่าย 
แต่งให้ปืนตรง
 
ไม้ค้อมมีลูกน้อม
คือสัปบุรุษสอนตาม 
ไม้ผุดังคนทราม 
ดัดก็หักแหลกแล้
  นวยงาม 
ง่ายแท้ 
สอนยาก 
ห่อนรื้อโดยตาม
 
เป็นคนควรรอบรู้
สองประการนิยม 
หนึ่งพาลหนึ่งอุดม 
สองสิ่งนี้จงให้
  สมาคม 
กล่าวไว้ 
นักปราชญ์ 
เลือกรู้สมาคม
 
คนใดไปเสพด้วย
จักทุกข์ทนเนานาน 
ใครเสพท่วยทรงญาณ 
เสวยสุขล้ำเลิศแท้
  คนพาล 
เนิ่นแท้ 
เปรมปราชญ์ 
เพราะได้สดับดี
 
ได้เห็นนักปราชญ์ไซร้
อยู่ร่วมเรือนหายทุกข์ 
ผู้พาลสั่งสอนปลุก 
ยลเยี่ยงนกแขกเต้า
  เป็นสุข 
ค่ำเช้า 
ใจดั่ง พาลนา 
ตกต้องมือโจร
 
จงนับสัปบุรุษรู้
จะละหลีกพาลอัน 
จงสร้างสืบบุญธรรม์ 
จงนึกนิตย์ชีพคล้าย
  บุญกรรม์ 
ชั่วร้าย 
ทุกเมื่อ 
ดุจด้วยฟองชล
 
คบกากาโหดให้
พาตระกูลเหมหงส์ 
คบคนชั่วจักปลง 
ตราบลูกหลานเหลนม้วย
  เสียพงศ์ 
แหลกด้วย 
ความชอบ  เสียนา 
ไม่ม้วยนินทา
 
มดแดงแมลงป่องไว้
งูจะเข็บพิษวาง 
ทรชนทั่วสรรพางค์ 
เพราะประพฤติมันเกี้ยว
  พิษหาง 
แห่งเขี้ยว 
พิษอยู่ 
เกี่ยงร้ายแกมดี
 
นาคีมีพิษเพี้ยง 
เลื้อยบ่ทำเดโช 
พิษน้อยหยิ่งโยโส 
ชูแต่หางเองอ้า
  สุริโย 
แช่มช้า 
แมลงป่อง 
อวดอ้างฤทธี
 
ความรู้ผู้ปราชญ์นั้น
ฝนทั่งเท่าเข็มเพียร 
คนเกียจเกลียดหน่ายเวียน 
กลอุทกในตระกร้า
  นักเรียน 
ผ่ายหน้า 
วนจิต 
เปี่ยมล้นฤามี
 
กละออมเพ็ญเพียบน้ำ
โอ่งอ่างพร่องชลชิง 
ผู้ปราชญ์ห่อนสุงสิง 
คนโฉดรู้น้อยก้อ
  ฤาติง 
เฟื่องหม้อ 
เยียใหญ่ 
พลอดนั้นประมาณ
 
งาสารฤาห่อนเหี้ยน
คำกล่าวสาธุชนยืน 
ทุรชนกล่าวคำฝืน 
หัวเต่ายาวแล้วสั้น
  หดคืน 
อย่างนั้น 
คำเล่า 
เล่ห์ลิ้นทรชน
 
ทรชนอย่าเคียดแค้น
อย่าห่างศัตรูชิด 
คือไฟถ่านแรงฤทธิ์ 
แม้นดับแล้วบ่ไหม้
  อย่าสนิท 
อย่าใกล้ 
ถือถลาก มือนา 
หม่นต้องมือดำ
 
มิตรพาลอย่าคบให้
พาลใช่มิตรอย่ามัก 
ครั้นคราวเคียดคุมชัก 
รู้เหตุสิ่งใดไซร้
  สนิทนัก 
กล่าวใกล้ 
เอาโทษ ใส่นา 
ส่อสิ้นกลางสนาม
 
หมาใดตัวร้ายขบ
อย่าขบตอบต่อหมา 
ทรชนชาติช่วงทา 
อย่าโกรธอย่าหน้าบึ้ง
  บาทา 
อย่าขึ้ง 
รุณโทษ 
ตอบถ้อยถือความ
 
ลูกสะเดาน้ำผึ้งซาบ
แล้วปลุกปองรสคนธ์ 
ตราบเท่าออกดอกผล 
ขมแห่งสะเดาน้อย
  โทรมปน 
แอบอ้อย 
พวงดก 
หนึ่งรู้โรยรา
 
พริกเผ็ดใครให้เผ็ด
หนามย่อมแหลมเองใคร 
จันทน์กฤษณาไฉน 
วงศ์แห่งนักปราชญ์ได้
  ฉันใด 
เซี่ยมได้ 
ใครอบ  หอมฤา 
เพราะด้วยฉลาดเอง
 
จันทน์แห้งกลิ่นห่อนได้
อ้อยหีบชานยังหวาน 
ช้างเข้าศึกเสี่ยมสาร 
บัณทิตแม้นทุกข์ร้อย
  ดรธาน 
โอชอ้อย 
ยกย่าง งามนา 
เท่ารื้อลืมธรรม
 
ฝูงหงส์หลงเข้าสู่
สีหราชเคียงโคนา 
ม้าต้นระคนลา 
นักปราชญ์พาลพาเต้า
  ฝูงกา 
คลาดเคล้า 
เลวชาติ 
สีนี้ไฉนงาม
 
แมลงวันแสวงเสพด้วย
พาลชาติเสาะกิ่งรก 
ภุมราเห็จเหินหก 
นักปราชญ์ฤาห่อนหม้าย
  ลามก 
เรื่องร้าย 
หาบุษ บานนา 
หมั่นสู้แสวงธรรม
 
เนื้อปองน้ำหญ้าบ่
ลิงบ่ปองรัตน์ปอง 
หมูปองอสุจิของ 
คนเคลิบเคลิ้มบ้าใบ้
  ปองทอง 
ลูกไม้ 
หอมห่อน ปองนา 
ห่อนรู้ปองธรรม
 
กายเกิดพยาธิโรคร้าย
แต่พยศยาไป่วาย 
ชาติเสือห่อนหายลาย 
กล้วยก็กล้วยคงกล้วย
  ยาหาย 
ตราบม้วย 
ลบผ่อง 
กลับกล้ายฤๅมี
 
ขุนเขาสูงร้อยโยชน์
ขุนปราบด้วยโยธา 
จักล้างพยศสา 
ยศศักดิ์ให้เท่าให้
  คณนา 
ราบได้ 
หัสยาก 
พยศนั้นฤาหาย
 
คบคนผู้โฉดเคลิ้ม
หญิงเคียดอย่าระคน 
อย่าคบหมู่ทรชน 
บัณทิตแม้ตกต้อง
  อับผล 
ร่วมห้อง 
สอนยาก 
โทษสู้สมาคม
 
ภูเขาอเนกล้ำ
บมิหนักแผ่นธรณี 
หนักนักแต่กระลี 
อันจักทรงทานได้
  หากมี 
หน่อยไซร้ 
ลวงโลก 
แด่พื้นนรกานต์
 
ภูเขาทั้งแท่งล้วน
ลมพยุพัดพา 
สรรเสริญแลนินทา 
ใจปราชญ์ฤาเฟื่องพื้น
  ศิลา 
บ่ขึ้น 
คนกล่าว 
ห่อนได้จินต์จล
 
ห้ามเพลิงไว้อย่าให้
ห้ามสุริยแสงจันทร์ 
ห้ามอายุให้หัน 
ห้ามดังนี้ไว้ได้
  มีควัน 
ส่องไซร้ 
คืนเล่า 
จึ่งห้ามนินทา
 
ภูเขาเหลือแหล่ล้วน
หามณีจินดา 
ฝูงชนเกิดนานา 
หานักปราชญ์นั้นไซร้
  ศิลา 
ยากได้ 
ในโลก 
เลือกแล้วฤามี
 
ป่าหลวงหลายโยชน์พร้อม
หาแก่นจันทน์กฤษณา 
ฝูงคนเกิดมีมา 
หาปราชญ์ฤาจักได้
  พฤกษา 
ยากไซร้ 
เหลือแหล่ 
ยากแท้ควรสงวน
 
มัจฉามีทั่วท้อง
หาเงือกงูมังกร 
ทั่วด้าวพระนคร 
จักเสาะสัปปุรุษไซร้
  ชโลธร 
ยากได้ 
คนมาก มีนา 
ยากแท้จักมี
 
ดารามีมากร้อย
บ่เปรียบกับดวงจันทร์ 
คนพาลมากอนันต์ 
จะเทียบเท่าปราชญ์ไซร้
  ถึงพัน 
หนึ่งได้ 
ในโลก 
ยากแท้ฤาถึง
 
เหมหงส์เลี้ยงชีพด้วย
ช้างพึ่งพนาดร 
ภุมราบุษบากร 
นักปราชญ์เลี้ยงตัวได้
  สาคร 
ป่าไหม้ (ไม้) 
ครองร่าง ตนนา 
เพื่อด้วยปัญญา
 
นกแร้งบินได้เพื่อ
หมู่จระเข้เต่าปลา 
เข็ญใจพึ่งราชา 
ลูกอ่อนอ้อนกลืนกล้ำ
  เวหา 
พึ่งน้ำ 
จอมราช 
เพื่อน้ำนมแรง
 
ป่าพึ่งพาลพยัคฆ์ร้าย
เสือพึ่งไพรพงพี 
ความชั่วพึ่งความดี 
เรือพึ่งแรงน้ำน้ำ
  ราวี 
เถื่อนถ้ำ 
เท็จพึ่ง จริงนา 
หากรู้คุณเรือ
 
ตีนงูงูไซร้หาก
นมไก่ไก่สำคัญ 
หมู่โจรต่อโจรหัน 
เชิงปราชญ์ฉลาดกล่าวผู้
  เห็นกัน 
ไก่รู้ 
เห็นเล่ห์ กันนา 
ปราชญ์รู้  เชิงกัน
 
มีอายุร้อยหนึ่ง
ศีลชื่อปัญจางค์จัก 
ขวบเดียวเด็กรู้รัก 
พระตรัสสรรเสริญผู้
  นานนัก 
ไป่รู้ 
ษานิจ  ศีลนา 
เด็กนั้นเกิดศรี
 
คนใดยืนอยู่ร้อย
ใจบ่มีปรีชา 
วันเดียวเด็กเกิดมา 
สรรเพชญ์บัณฑูรไว้
  พรรษา 
โหดไร้ 
ใจปราชญ์ 
เด็กนั้นควรยอ
 
คนใดยืนเหยียบร้อย
ความอุตส่าหฤามี 
เด็กเกิดขวบหนึ่งดี 
พระตรัสว่าเด็กน้อย
  ขวบปี 
เท่าก้อย 
เพียรพาก 
นี่เนื้อเวไนย
 
อายุถึงร้อยขวบ
ธัมโมชอันโอฬาร 
เด็กน้อยเกิดประมาณ 
เห็นถ่องธรรมยิ่งผู้
  เจียรกาล 
บ่รู้ 
วันหนึ่ง 
แก่ร้อยพรรษา
 
มีอายุอยู่ร้อย
ความเกิดแลความตาย 
วันเดียวเด็กหญิงชาย 
ลูกอ่อนนั้นยิ่งผู้
  ปีปลาย 
ไป่รู้ 
เห็นเกิด ตายนา 
แก่ร้อยปีปลาย
 
ธิรางค์รู้ธรรมแม้
บ่กล่าวให้หญิงชาย 
ดุจหญิงสกลกาย 
อยู่ร่วมเรือนผัวผู้
  มากหลาย 
ทั่วรู้ 
งามเลิศ 
โหดแท้ขันที
 
เว้นวิจารณ์ว่างเว้น
เว้นที่ถามอันยัง 
เว้นเล่าลิขิตสัง 
เว้นดั่งกล่าวว่าผู้
  สดับฟัง 
ไป่รู้ 
เกตว่าง เว้นนา 
ปราชญ์ได้ฤามี
 
รู้น้อยว่ามากรู้
กลกบเกิดอยู่ใน 
ไป่เห็นชเลไกล 
ชมว่าน้ำบ่อน้อย
  เริงใจ 
สระจ้อย 
กลางสมุทร 
มากล้ำลึกเหลือ
 
รูปชั่วมักแต่งแกล้ง
ใจขลาดมักอาจอง 
น้ำพร่องกละออมคง 
เฉาโฉดโอษฐ์อวดสู้
  เกลาทรง 
อวดสู้ 
กระฉอก ฉานนา 
ว่ารู้ใครเทียม
 
จระเข้คับน่านน้ำ
รถใหญ่กว่ารัถยา 
เสือใหญ่กว่าวนา 
เรือเขื่องคับชเลแล้
  ไฉนหา  ภักษ์เฮย 
ยากแท้ 
ไฉนอยู่ ได้แฮ 
แล่นโล้ไปไฉน
 
มณฑกทำเทียบท้าว
แมวว่ากูพยัคฆี 
นกจอกว่าฤทธี 
คนประดากขุกมีข้า
  ราชสีห์ 
แกว่นกล้า 
กูยิ่ง ครุฑนา 
ยิ่งนั้นแสนทวี
 
หิ่งห้อยส่องก้นสู้
ปัดเทียบเทียมรัตนอัน 
ทองเหลืองหลู่สุวรรณ 
พาลว่าตนเองอ้า
  พระจันทร์ 
เอี่ยมข้า 
ธรรมชาติ 
อาจล้ำเลยกวี
 
เสือผอมกวางวิ่งเข้า
ไป่ว่าเสือมีฤทธิ์ 
เล็บเสือดั่งคมกฤช 
ครั้นปะปามล้มคว่ำ
  โจมขวิด 
เลิศล้ำ 
เสือซ่อน  ไว้นา 
จึ่งรู้จักเสือ
 
ทองเหลืองเปลื้องร้ายห่อน
ขัดเท่าขัดราคี 
นพคุณหมดใสสี 
ถึงบ่แต่งตั้งไว้
  เห็นมี 
เล่าไซร้ 
เสร็จโทษ 
แจ่มแจ้งไพบูลย์
 
พระสมุทรไหวหวาดห้วย
เมรุพลวกปลวกสำรวล 
สีหราชร่ำคร่ำครวญ 
สุริยส่องยามเย็นเข้า
  คลองสรวล 
ร่าเร้า 
สุนัขเยาะ หยันนา 
หิ่งห้อยยินดี
 
แมวล่าหนูแซ่ซี้
หมาล่าวิฬาร์ผัน 
ครูล่าศิษย์และธรรม์ 
เสือล่าป่าแรมร้าง
  จรจรัล 
สู่หล้าง 
คบเพื่อน พาลนา 
หมดไม้ไพรสณฑ์
 
จามรีขนข้องอยู่
ชีพบ่รักรักยศ 
สัตว์โลกซึ่งสมมติ 
ดูเยี่ยงสัตว์นั้นได้
  หยุดปลด 
ยิ่งไซร้ 
มีชาติ 
ยศซ้องสรรเสริญ
 
นพคุณใส่เบ้าสูบ
ค้อนเหล็กรุมรันตี 
บ่เจ็บเท่าธุลี 
เจ็บแต่ท่านชั่งด้วย
  แสนที 
ห่อนม้วย 
สักหยาด 
กล่ำน้อยหัวดำ

ตัวหนังสือไทย

จากศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พบว่า มีข้อความที่กล่าวถึงเรื่องของตัวหนังสือไทย เอาไว้ตอนหนึ่งว่า "เมื่อก่อนนี้ลายสือไทนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมะเมีย พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจ ในใจและใส่ลายสือไทนี้ ลายสือไทนี้จึ่งมีเพื่อขุนผู้นั้นใส่ไว้"

ได้มีผู้สันนิษฐาน เรื่องตัวหนังสือไทยไว้หลายแง่มุม เช่น จารึกอักษรที่ภาพชาดกที่ผนังอุโมงวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย น่าจะเป็นตัวหนังสือที่มีมาก่อนตัวหนังสือจากศิลาจารึกของ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช และพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ปรับปรุงตัวหนังสือเก่าที่เคยมีมาแล้ว จัดวางสระเสียใหม่ คำว่าใส่อาจหมายถึง การกระทำเช่นนี้ แต่ก็สรุปได้ว่า แต่ก่อนไม่มีตัวหนังสือไทยแบบนี้ และเท่าที่ทราบยังไม่เคยมีผู้ทราบว่า มีตัวหนังสือไทยแบบอื่นใช้มาก่อนสมัยกรุงสุโขทัย

ไทยเราเป็นชาติที่เจริญเก่าแก่มาแต่โบราณกาล ได้มีการศึกษาค้นคว้ามาว่า ชาติไทยนั้น เคยมีภูมิลำเนาอยู่ในดินแดน ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีนในปัจจุบัน และเมื่อกาลเวลาผ่านไป มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง ตามสภาพสังคมและสิ่งแวดล้อม แต่ภาษาพูด คนไทยเราเห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญ ที่เรายังคงไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงไปง่ายง่ายเหมือนเรื่องอื่น แม้ในปัจจุบัน คนที่พูดภาษา ซึ่งพอจะย้อนไปได้ว่า ต้นตอเป็นภาษาไทย มีอาศัยอยู่ทั่วไป ในดินแดนที่กว้างใหญ่ของจีน ในมณฑลอัสสัมของอินเดีย ในรัฐฉานตอนเหนือของพม่า ในลาวทั้งหมด ในเวียดนามตอนเหนือ เรายังพอพูดพอฟังเข้าใจกันได้ ในเรื่องทั่ว ๆ ไปในชีวิตประจำวัน คำหลัก ๆ การสร้างรูปประโยค และไวยากรณ์ ยังคงอยู่

ภาษาจีนและภาษาไทย จัดเป็นภาษาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน เป็นภาษาที่กำหนดเอาเสียงหนึ่ง แทนความหมายหนึ่ง จึงมีคำที่มีเสียงโดดเสียงเดียวอยู่เป็นอันมาก ทำให้ต้องมีคำอยู่เป็นจำนวนมาก จึงต้องอาศัยการทำเสียงสูง เสียงต่ำ ให้มีความหมายแตกต่างกัน เพื่อให้มีเสียงพอกับคำที่คิดขึ้น แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เพียงพอ จึงต้องมีคำผสมของเสียงหลายพยางค์ เพิ่มเติมขึ้นอีก ความแตกต่างจากภาษาอื่นประการหนึ่งคือ เรามีเสียงวรรณยุกต์ สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระองค์ได้ทรงประดิษฐ์วรรณยุกต์ขึ้น ๒ เสียง คือ เสียงเอก และเสียงโท ซึ่งเมื่อใช้ควบกับอักษรเสียงสูงและเสียงต่ำ หรือใช้อักษร "ห" นำอักษรเสียงต่ำ ที่ไม่มีคู่อักษรเสียงสูงแล้ว ก็สามารถผันเสียงได้ถึง ๕ เสียง คือ เสียง สามัญ เอก โท ตรี และจัตวา

ภาษาจีนก็มีเสียงที่เป็นวรรณยุกต์เหมือนกัน แต่ไม่มีเครื่องหมายเขียนในตัวหนังสือ เสียงวรรณยุกต์ของจีนนี้ บ้างก็ว่ามี ๔ เสียง และสูงสุดถึง ๘ เสียง

ซึ่งเมื่อเทียบกับวรรณยุกต์ไทย ก็คงจะเป็นเสียง ที่เกิดจากวรรณยุกต์ ผสมกับสระเสียงสั้นเสียงยาว ซึ่งทางไทยเราแยกเสียงออกไปในรูปสระ ภาษาจีนและภาษาไทย มีรูปประโยคที่เกิดจากการเอาคำมาเรียงกันเป็นประโยค ข้อแตกต่างของไวยากรณ์ไทย ที่ไม่เหมือนของจีน ที่สำคัญคือ คำคุณศัพท์ขยายนาม ภาษาไทยเราเอาไว้หลังนาม แต่จีนเอาไว้หน้านาม เช่นเดียวกับภาษาอื่น ๆ คำวิเศษณ์ที่ประกอบกริยา ภาษาไทยเอาไว้ตามหลังกริยา แต่ภาษาจีนมักไว้หน้ากริยา คำวิเศษณ์ที่ประกอบคุณศัพท์ ภาษาไทยเอาไว้หลังคุณศัพท์ แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้าคุณศัพท์ และลักษณะนาม ภาษาไทยจะไว้หลังนาม แต่ภาษาจีนเอาไว้หน้านาม 

นกขมิ้นเหลืองอ่อน

นกขมิ้นเหลืองอ่อน
ค่ำแล้วจะนอนไหน
เชิญนอนเถิดเจ้านอน
กล่อมให้เจ้าหลับสบาย
แม่ซื้อทั้งหลาย
อย่าได้หยิกหยอก
ขึ้นน้ำลงท่า
ช่วยพิทักษ์รักษาทรามบังอร
อย่าหยอกหลอกหลอน
กล่อมให้เจ้านอนเปลเอย
นอกจากนี้ยังกำชับว่า ตัวลูกเองก็ต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เช่น
เจ้าเนื้อเย็นเอย แม่มิให้ไปเล่นหาดทราย
ครั้นว่าน้ำขึ้นมา มันจะพาเจ้าลอยหาย
แสนเสียดายเจ้าคนเดียวเอย

ฝนเอย...ทำไมจึงตก

"ฝนเอย...ทำไมจึงตก"
"ฝนตกเพราะกบมันร้อง"

“กบเอย...ทำไมจึงร้อง”
“กบร้องเพราะท้องมันปวด”

“ท้องเอย...ทำไมจึงปวด”
“ท้องปวดเพราะข้าวมันดิบ”

“ไฟเอย...ทำไมจึงดับ”
“ไฟดับเพราะฟืนมันเปียก”

“ฟืนเอย...ทำไมจึงเปียก”
“ฟืนเปียกเพราะฝนมันตก”

แตงโม

แตงโมผลใหญ่ ๆ
เกิดขึ้นได้จากเม็ดแตงเล็ก ๆ
จำไว้นะพวกเด็ก ๆ
เม็ดแตงเล็ก ๆ กลายเป็นแตงผลใหญ่

ตะล็อกต๊อกแต๊ก

ตะล็อกต๊อกแต๊ก       มาทำไม 
มาซื้อดอกไม้           ดอกอะไร 
ดอกจำปี                  ไม่มี 
ดอกจำปา                ไม่มา 
ดอกยี่โถ                  ไม่โต  
ดอกแก้ว                  หมดแล้ว

เปาบุ้นจิ้น

เปาบุ้นจิ้น เป็นชาวเมืองหุ้นหนำกุ้ย ขึ้นกับเมืองกุยจิวเสีย อยู่ตำบลเปาเก แซ่เปา ชื่อบุ้นจิ้น เป็นบุตรชายของเปาเบ๊ะบ้วน และนางหลีสี อันหยิน มีพี่ชายสองคน คือเปาบุ้นกุ้ย และ เปาบุ้นลุ้ย
     เปาบุ้นกุ้ยเป็นพี่ชายคนโต มีภรรยาชื่อนางหลิวสี เปาบุ้นลุ้ยเป็นพี่ชายรอง มีภรรยาชื่อนางกังสี ส่วนเปาบุ้นจิ้น มีภรรยาชื่อ นางเตียวกุยกี
     ในช่วงที่เปาบุ้นจิ้นเกิดปรากฎว่า มีกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั้งบ้าน พอคลอดออกมาร้อง อุแว้ อุแว้ แสงสว่างได้ส่องกระจายไปทั่วบ้าน แสดงว่ามีคนดีมาเกิด และคนดีคนนี้จะสร้างความสงบสุขให้แก่บ้านเมือง เป็นที่พึ่งพิงของราษฎรได้ในภายหน้า
     เปาบุ้นจิ้นเกิดมามีหน้าดำมิดหมี บ้านใกล้เรือนเคียงพากันมาเยี่ยม เห็นทารกหน้าดำปี๋ ต่างทำหน้าเบ้ไปตามๆกัน นึกรังเกียจทารกว่าจะเป็นปีศาจมาเกิด หน้าตาจึงได้ผิดมนุษย์มนาไปเช่นนี้
     ชาวบ้านก็โจษขานกันว่า ปีศาจมาเกิด ทำให้เปาเบ๊ะบ้วน ใจคอไม่ดี พลอยนึกไปในทางอกุศลแก่ลูกของตนว่า
     “อ้ายเด็กคนนี้คงเป็นปีศาจมาเกิด ขืนเลี้ยงไว้จะเป็นเสนียดจัญไรแก่บ้าน
     ได้ปรึกษากับหลีสีอันหยิน เห็นพ้องกันว่า จะต้องเอาไปทิ้งไว้ในป่า หากเอาไว้ในบ้านจะนำความพินาศมสู่ตระกูลเปา
     เปาเบ๊ะบ้วน เป็นชาวบ้านธรรมดา มีอาชีพทางเกษตร ทำไร่ทำนา คบหาสมาคมเฉพาะคนพวกเดียวกัน แม้จะมั่งมีเงินทอง ก็หาได้เรียนหนังสือหนังหาไม่ ไม่ได้ศึกษาทางธรรม จึงไม่อาจเข้าใจเหตุผล ไม่อาจแยกแยะชั่วดีได้อย่างถูกต้อง แม้นางหลีสีอันหยินก็ไม่รู้ทั้งทางโลกและทางธรรม รู้แต่เรื่องทำมาหากินเท่านั้น หนำซ้ำยังเป็นคนเชื่อถือโชคลางอีกด้วย จึงตัดสินใจไปด้วยโหจริต คิดจะเอาลูกไปทิ้ง
     ในขณะที่บิดา มารดา กำลังปรึกษากันอย่างโง่ๆอยู่นั้น นางหลิวสี บุตรสะใภ้คนโตผู้มีสติปัญญา ซึ่งนั่งอยู่ในที่ไม่ไกลได้ยินเข้าจึงขอร้องบิดามารดาจะรับเลี้ยงไว้ ถ้ามีภัยอันตรายเกิดขื้น ก็จะขอรับผิดชอบเอง ไม่ให้เสียแก่บิดามารดา
     แม้บิดามารดาจะไม่เห็นด้วย และถึงกับโกรธขึ้ง แต่นางหลิวสีสะใภ้ใจบุญผู้ฉลาดก็ดื้อดึงเอาไว้ เพราะนางเห็นนิมิตต่างๆ ที่เกิดขึ้นขณะเปาบุ้นจิ้นคลอดออกมานั้น นางเชื่อว่า โตขึ้นเด็กคนนี้จะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามาก นางหลิวสีรับทารกนั้นไปเลี้ยงไว้ แล้วใหตั้งชื่อว่า เปาบุ้นจิ้น
     บิดามารดาจะรังเกียจเดียดฉันอย่างไร แต่เปาบุ้นกุ้ย และเปาบุ้นลุ้ย พร้อมพี่สะใภ้ทั้งสองไม่เคยรังเกียจ กลับจะให้ความเมตตามากยิ่งขึ้น
     เปาบุ้นจิ้น เป็นเด็กมีสติปัญญาดี ไม่มีความประพฤติเสียหายเมื่อโตขึ้นได้ชื่อว่าเป็นผู้มีความรู้สูง ครั้นสมัครไปสอบไล่ ก็สามารถสอบไล่ได้เป็นจอหงวน ได้รับพระราชทานช่อดอกไม้ทองเสียบหมวกจากฮ่องเต้
     ต่อมา ได้รับตำแหน่งเป็นนายอำถอเมืองเตี้ยตักกุ้ย แทนนายอำเภอคนเก่าที่ถึงแก่กรรม ตอนนั้นอายเพียง ๑๙ ปีนับว่าหนุ่มที่สุด
     บิดา มารดา พี่ซาย และพี่สะใภ้ ดีใจกันใหญ่หน้าดำของเปาบุ้นจิ้น ที่บิดามารดาเคยตั้งข้อรังเกียจ ก็ไม่รู้สึกกันอีกต่อไปนี่แหละหนาคนเรา !
     เปาบุ้นจิ้นได้เป็นนายอำเภอมาไม่นานนัก ก็ได้สละโสดแต่งงานกับนางเตียวกุยกี
     แม้ใบหน้าของเปาบุ้นจิ้นจะดำคล้ำไปหน่อย ผิดกับเจ้าสาวซึ่งสวยงามยิ่งนัก แต่เปาบุ้นจิ้นก็เป็นคนดี มีวาสนาได้เป็นขุนนางตั้งแต่ยังหนุ่ม นางเตียวกุยจึงมีความพอใจ
     ไม่ถึงกับต้องหล่อเหลา ขอเพียงเป็นคนเอาการเอางานขยันอดทน มีความคิดสร้างสรรค์ ฝันใฝ่ในทางดีงาม ไม่มีผู้หญิงที่ฉลาดคนไหนหรอกจะไม่เหลียวแล
     นายอำเภอเปาบุ้นจิ้น ได้ทำหน้าที่ราชการด้วยความซื่อสัตยสุจริต อุทิศชีวิตเพื่อบ้านเมือง บำบัดทุกข์บำรุงสุข ราษฎรจนเป็นทียินดีกันทั่วหน้า จึงได้รับแต่งตั้งเป็นตุลาการเป็นเจ้าเมือง ได้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นที่เกรงขามของบรรดาข้าราชการทั้งน้อยใหญ่ แม้องค์ฮ่องเต้ก็ยังทรงเกรงพระทัย
     ขุนนางกังฉินทั้งเกลียดและกลัวท่าน แต่ขุนนางตงฉิน และราษฎรทั้วไปรักท่าน เพราะเปาบุ้นจิ้นท่านเป็นขุนนางที่ติดดิน ไม่ใช่ขุนนางที่คอยฟังแต่รายงาน ท่านคอยตรวจตราสุขทุกข์ของราษฎรด้วยตัวของท่านเอง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นไม่ว่าที่ไหน ท่านจึงแก้ไขได้หมด ท่านเป็นข้าราชการประเภทที่เรียกว่า “รองเท้าสึกก่อนกางเกงขาด”
     ถ้าพูดถึงการตัดสินคดีความของท่านแล้ว นับว่าไร้เทียมทานท่านเป็นตุลาการที่เที่ยงธรรมที่สุด เพราะท่านไม่ได้อ่านเฉพาะคำฟ้องเท่านั้น แต่ท่านพยายามไขว่คว้าพยานหลักฐานมาด้วยตนเองท่านออกพบปะประชาชน ค้นหาความจริงนอกบัลลังก์ศาล คำพิพากษาของท่านจึงบริสุทธิ์ ไม่มีใครสงสัยท่านจึงได้ชื่อว่าเป็น “เทพเจ้าแห่งความยุติธรรม”
     ในฐานะเป็นขุนนางผู้ใหญให้คำ ปรึกษาแก่จักพรรดิ์องค์ฮ่องเต้เปาบุ้นจิ้นกระทำหน้าที่นี้ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างแท้จริง อันไหนควรก็บอกว่าควร อันไหนไม่ควรก็บอกว่าไม่ควร
     เปาบุ้นจิ้นกล้าขัดพระทัยองค์ฮ่องเต้ ถ้าพระองค์จะทรงกระทำในสิ่งที่ผิด กล้าแนะนำองค์ฮ่องเต้ในสิ่งที่ถูก ทำให้องค์ฮ่องเต้ไม่กล้ากระทำผิด ทรงมีหริโอตตัปปะมากขึ้น ดำรงพระองค์อยู์ในทศพิธราชธรรม และรักรราษฎรมากขึ้น เห็นราษฎรเป็นเหมือนลูกหลาน ที่จะต้องทรงรักษาดูแลให้อยู่เย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า
     เมื่อองค์ฮ่องเต้ดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม คือ
     ๑. บำรุงเลี้ยงช่วยเหลือราษฎรให้อยู่ดีมีสุข ทรงสละพระราชทรัพย์ เพื่อราษฎรได้อยู่สำราญใจ (ทาน)
     ๒. มีความประพฤติดีงาม ตั้งอยู่ในศีลในธรรม ทรงเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน (ศีล)
     ๓. สละความสุขส่วนพระองคได้ เพื่อประโยชน์ และความสุขของประชาชนและสันติความสงบของบ้านเมือง ตลอดจนพระชนม์ชีพก็สามารถสละได้ หากว่าจะสามารถยังความสุข ความเจริญให้เกิดแก่ราษฎรได้ (ปริจจาคะ)
     ๔. ทรงปฏิบัติภารกิจด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต มีความจริงใจต่อประชาชน (อาชชวะ)
     ๕. มีอัธยาศัยอ่อนโยน กิริยาสุภาพ นุ่มนวล ไม่เย่อหยิ่งหยาบกระด้าง เห็นแล้วงามสง่า น่าภักดี (มัททวะ)
     ๖. สามารถระงับดับกิเลสได้ ไม่ลุ่มหลงในความสุขสำราญ มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย และมุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรปฎิบัติภารกิจให้สมบูรณ์ (ตปะ)
     ๗. ไม่โกรธเกรี้ยว ลุอำนาจแก่โทสะ จนเป็นเหตุให้เกิดความผิดพลาดในเรื่องที่ทรงกระทำ และเสียหายแก่ธรรม กับมีเมตตกรุณาประจำพระทัย (อักโกธะ)
     ๘. ไม่ทำอะไรที่เป็นการกดขี่บีบคั้นราษฎร เช่นไม่เก็บภาษีอย่างขูดรีด ปีไหนเศรษฐกิจไม่ดี ราษฎรยากจน ก็ควรงดเก็บภาษีหรือเก็บภาษีให้น้อยลง ทำให้ราษฎรมีทุนทำมาหากินต่อไปได้ ไม่ลุ่มหลงอำนาจ จนขาดเมตตากรุณา แล้วหาเหตุเบียดเบียนราษฎรให้เป็นทุกข์ (อริหิงสา)
     ๙. มีความอดทน อดทนต่อภารกิจ อดทนต่อความเจ็บไขได้ป่วย อดทนต่อความบีบคั้นทางใจ ทนต่อกิเลสที่มายั่วยวนกวนใจได้ ไม่ยอมละทิ้งสิ่งดีงาม (ขันติ)
     ๑๐. วางพระองค์หนักแน่นอยู่ในธรรมไม่หวั่นไหวในโลกธรรมยึดมั่นในหลักนิติธรรมอันถูกต้อง ไม่ประพฤติผิดขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม (อวิโรธนะ)
     ฮ่องเต้ที่ดำรงอยู่ในทศพิธราชธรรม จะไม่มีเวลาสำหรับกระทำผิดให้เสียหาย จะมีเวลาแต่ปกครองราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข จะทรงรักษาราษฎรให้อยู่เย็นเป็นสุข พระองค์จะทรงรักราษฎรมากขึ้นห่วงใยราษฎรยิ่งกว่าพระองค์เอง
     เมื่อฮ่องเต้ทรงรักและห่วงใยราษฎร ราษฎรก็ย่อมจงรักภักดีต่อพระองค์ องค์ฮ่องเต้อยู่ได้ด้วยราษฎรภักดี หาใช่อยู่ที่ความประจบสอพลอของเหล่าขุนนางไม่
     ขุนนางอย่างเปาบุ้นจิ้น จะไม่แนะนำให้องค์ฮ่องเต้ออกไปจากหลักธรรมอันนี้ จะไม่ประจบสอพลอเพื่อเอาดีเฉพาะตัว นี่แหละขุนนางตงฉิน ผู้จงรักภักดีที่แท้จริง
     เปาบุ้นจิ้นเริ่มรับราชการมาตั้งแต่อายุ ๑๕ ปี จนถึง ๑๐๕ ปีอันเป็นปีที่หมดอายุพอดี รวมเวลารับราชการนับได้ ๙๐ ปีเต็มๆ
     ตั้งแต่ทำราชการมา เปาบุ้นจิ้นมีแต่ความซื่อสัตย์ สุจริตไม่เคยฉ้อราษฎร์บังหลวง ไม่เคยกินตามน้ำหรือทวนน้ำ ไม่ใช่ว่าโง่เขลาคอร์รัปชั่นไม่เป็น หามิได้ เปาบุ้นจิ้นเป็นคนฉลาดมาก ทำการอันใดไม่เคยพลาด แม้มีอำนาจล้นมือแต่ไม่เคยใช้อานาจในทางมิชอบ
     คนเช่นนี้แหละจึงจะเรียกว่าเป็นผู้รับใช้แผ่นดิน และประชาชนผู้ยิ่งใหญ่ 

เจ้าแม่กวนอิม

 เจ้าแม่กวนอิมเดิมกำเนิดเป็นเจ้าหญิงชื่อ เจ้าหญิงเมี่ยวซันแห่งอาณาจักรซิงหลิน ซึ่งเป็นดินแดนที่อยู่ในทะเลใต้แต่โบราณ ซึ่งปัจจุบันได้จมหายอยู่ใต้ทะเลลึกแล้ว
เจ้าหญิงเมี่ยวซันมีจิตใจเมตตากรุณาต่อ สัตว์ทั้งหลายตั้งแต่เด็กมีพระทัยใฝ่ใจที่ จะออกบวชเพื่อพ้นจากทุกข์ตามคำสอน ของพระพุทธศาสนาแต่พระบิดาเมี่ยวจวง ผู้มีจิตใจโหดร้ายชอบการเข่นฆ่าและทำ สงครามไม่ยินยอมกลับบังคับให้เจ้าหญิง เมี่ยวซันเลือกคู่ครองเจ้าหญิงเมี่ยวซันก็ ยืนกรานทออกบวชไม่ว่าพระบิดาจะใช้ อุบายต่างๆนานามาหลอกล่อเกลี้ยกล่อม อย่างไรก็ไม่สำเร็จจึงเกิดพิโรธที่มีผู้มา ขัดต่ออำนาจของตนจึงได้ประหารเจ้าหญิง เมี่ยวซันด้วยการตัดคอทันทีที่เจ้าหญิง เมี่ยวซันสิ้นลมพะภูมิเจ้าที่ได้แปลงร่าง เป็นเสือมารับร่างของเจ้าหญิงไปอยู่ที่ เกาะศักดิ์สิทธิ์แห่งทะเลตะวันออกที่นั้น เจ้าหญิงเมี่ยวซันได้บำเพ็ญภาวนา จน บรรลุโพธิญาณรู้แจ้งในสัจจะธรรมต่อมา กษัตริย์เมี่ยวจวงได้เกิดเป็นโรคผิวหนัง เกิดแผลเน่าทั้งกายรักษาอย่างไรก็ไม่ หายเจ้าหญิงเมี่ยวซันได้ทราบด้วยญาณ ว่าพระบิดาป่วยด้วยผลแห่งกรรม ที่ทำ มาและเห็นหนทางที่จะนำพระบิดา ได้ ก้าวพ้นทุกข์ได้จึงได้ให้หลวงจีนซันไฉ่ ไปอาสารักษาโรคโดยสละดวงตาและแขน ทั้งสองข้างของตนเพื่อปรุงยาเมื่อกษัตริย์ เมี่ยวจวงได้หายจากโรคจึงเริ่มสำนึกใน บาปกรรมที่ตนได้ทำไว้เลิกทำบาปหันมา สร้างกุศลต่อมาได้สละราชสมบัติดั้นด้น เดินทางมาหาเซียนผู้เสียสละดวงตาและ แขนเพื่อปรุงยาโดยไม่รู้ว่าเซียนผู้นั้นคือ ใครเมื่อรู้ว่าเซียนผู้ที่อุทิศแขนและดวง ตามารักษาตนนั้นคือเจ้าหญิงเมี่ยวซัน ธิดาที่ตนสั่งประหารชีวิตก็สะเทือนใจ เกิดสำนึกในบาปบุญคุณโทษเกิดดวงตา เห็นธรรมด้วยบุญกุศลที่เจ้าหญิงเมี่ยวซัน ได้บำเพ็ญเพียรบันดาลให้ดวงตาและแขน ทั้งสองที่สละไปแล้วกลับงอกขึ้นมาดังเดิม และนับแต่นั้นมาเจ้าหญิงเมี่ยวซันก็ได้ เป็นพระโพธิสัตว์กวนอิมพระผู้ช่วยให้สัตว รอดพ้นความทุกข์เดือดร้อนเป็นผู้ได้ปร เวทนาแห่งสัตว์โลก(อวโลกิเตศวร)และเป็น ที่เคารพสืบต่อกันมาจนตราบเท่าทุกวันนี้  

พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นกษัตริย์องค์ที่ ๓   แห่ง
ราชวงศ์พระร่วงสมัยกรุงสุโขทัย  เป็นพระราชโอรสของ
พ่อขุนศรีอินทราทิตย์และนางเสือง  มีพระเชษฐา ๒ พระองค์   
องค์ใหญ่สิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์    องค์กลางทรงพระนามว่า
" บานเมือง "   และมีพระขนิษฐาอีก ๒ พระองค์   


   เมื่อพ่อขุนรามคำแหงมีพระชนม์ได้ ๑๙ พรรษา ได้เสด็จ
ไปในกองทัพกับพระะชนกและได้ทำยุทธหัตถีกับขุนสามชน
เจ้าเมืองฉอดได้ชัยชนะ  พระชนกจึงพระราชทานพระนามว่า
"พระรามคำแหง "  เมื่อพระชนกสวรรคต 


  พ่อขุนบานเมืองผู้เป็นพระเชษฐาได้ขึ้นครองราชย์และแต่งตั้ง
ให้พ่อขุนรามคำแหงไปครองเมืองเชลียง     และเมื่อพ่อขุนบาน
เมืองสวรรคต    พ่อขุนรามคำแหงจึงได้ขึ้นครองกรุงสุโขทัย  
เป็นกษัตริย์ลำดับที่ ๓ แห่งราชวงศ์พระร่วง


  พ่อขุนรามคำแหงทรงเป็นอัจฉริยกษัตริย์  ทรงเป็นนักรบ 
นักปกครอง  และนักอักษรศาสตร์   พระองค์ทรงทำนุบำรุง
บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้า ขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง
ทรงแต่งตั้งราชทูตไปสานสัมพันธไมตรีกับจีน และได้นำ
ช่างปั้นจากจีนมาปั้นเครื่องชามสังคโลกในกรุงสุโขทัย
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ได้เป็นไมตรีกับเมืองลังกาและ
ได้พระพุทธสิหิงค์จากเมืองลังกาโดยรับมาจากนครศรีธรรมราช
อีกทอดหนึ่งในรัชสมัยนี้


  พ่อขุนรามคำแหงมหาราช ได้ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ
พ.ศ. ๑๘๒๖ โดยทรงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัดและอักษรไทยเดิม
ซึ่งดัดแปลงมาจากอักษรมอญและคิดอักษรไทยขึ้นใหม่ให้มีสระ
และวรรณยุกต์ให้พอใช้กับภาษาไทย และทรงเรียกอักษรดังกล่าว
ลายสือไทย ดังมีกล่าวในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงตอนหนึ่งว่า


        "เมื่อก่อนลายสือไทยนี้บ่มี ๑๒๐๕ ศกปีมะแม
พ่อขุนรามคำแหงหาใคร่ใจในใจ แลใส่ลายสือไทยนี้ ลายสือไทย
นี้จึงมีพ่อขุนรามคำแหงผู้นั้นใส่ไว้…" (ปี ๑๒๕๐ เป็น
มหาศักราชตรงกับพุทธศักราช ๑๘๒๖)


ลักษณะอักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหง

        ๑.      อักษรสมัยพ่อขุนรามคำแหงดัดแปลงมาจากอักษรขอมหวัด มีดังนี้คือ
ก ข ค ฆ ง จ ฉ ช ญ ฎ ฐ ณ ต ถ ท ธ น ป ผ พ ภ ม ย ร ล ว ศ ษ ส ห และได้เพิ่ม
พยัญชนะและวรรณยุกต์ให้พอกับภาษาไทยในสมัยนั้น ได้แก่ ฃ ฅ ซ ฎ ด บ ฝ ฟ อ
และวรรณยุกต์เอก และโท

        ๒.      สระและพยัญชนะเขียนเรียงอยู่ในบรรทัดเดียวกัน และสูงเสมอกัน
เขียนสระไว้หน้าพยัญชนะ ยกเว้นสระอะ   สระอาเขียนอยู่ข้างหลัง ส่วนวรรณยุกต์
เขียนไว้ข้างบน

        ๓.      สระอะเมื่อมีตัวสะกด ใช้พยัญชนะซ้อนกัน เช่น น่งง (นั่ง) ขบบ (ขับ)

        ๔.      สระเอีย ใช้ ย แทน เช่น สยง (เสียง) ถ้าไม่มีตัวสะกดใช้สระอี   โดยไม่มีไม้หน้า

        ๕.      สระอัว ที่ไม่มีตัวสะกด ใช้ วว เช่น ตวว (ตัว)

        ๖.      สระอือและสระออที่ไม่มีตัวสะกด ไม่ใช้ อ เช่น ชี่ (ชื่อ) พ่ (พ่อ)

        ๗.      สระอึ ใช้สระอิและสระอีแทน เช่น ขิ๋น (ขึ้น) จี่ง (จึ่ง)

        ๙.      ตัว ม ที่เป็นตัวสะกดใช้นฤคหิต เช่น กลํ (กลม)
                 ฯลฯ


        อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหง  ใช้แพร่หลายในเขตล้านนา
ล้านช้าง และกรุงศรีอยุธยา   ต่อมาชาวล้านนาและชาวล้านช้างเลิก
ใช้อักษรไทยสมัยกรุงสุโขทัยและใช้อักษรของพวกลื้อ ซึ่งเป็นอักษรไทย
พวกหนึ่งแทน     ส่วนกรุงศรีอยุธยายังคงใช้อักษรไทยและดัดแปลงแก้ไข
มาเป็นระยะ ๆ จนเป็นเช่นอักษรไทยปัจจุบัน

นางนพมาศ

นางนพมาศเกิดในรัชกาลพญาเลอไท  กษัตริย์ที่  ๔  แห่ง
ราชวงศ์พระร่วง   บิดาเป็นพราหมณ์ชื่อ  โชติรัตน์  มีราชทินนามว่า
พระศรีมโหสถ   รับราชการในตำแหน่งปุโรหิต  มารดาชื่อ  เรวดี      
ภายหลังนางนพมาศได้ถวายตัวเข้าทำราชการในราชสำนักสมเด็จพระร่วงเจ้า     
สันนิษฐานว่ารับราชการในแผ่นดินพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไท)      
จนกระทั่งได้รับตำแหน่ง   "ท้าวศรีจุฬาลักษณ์"  พระสนมเอก

                ปรากฎว่า  นางนพมาศได้ทำคุณงามความดีเป็นที่โปรดปรานของ
พระร่วงในกาลต่อมา   ที่สำคัญๆ มีอยู่  ๓  ครั้ง  คือ


                ครั้งที่  ๑     เข้าไปถวายตัวอยู่ในวังได้ห้าวัน   ก็ถึงพระราชพิธี
จองเปรียงลอยพระประทีป     นางได้คิดประดิษฐ์โคมเป็นรูปบัวกมุทบาน  
มีนกเกาะดอกไม้สีสวยๆ ต่างๆ กัน   เป็นที่โปรดปรานของพระร่วงมาก


                ครั้งที่  ๒     ในเดือนห้ามีพิธีคเชนทร์ศวสนาน  เป็นพิธีชุมนุมข้า
ราชการทุกหัวเมือง   มีเจ้าประเทศราชขึ้นเฝ้าถวายเครื่องราชบรรณาการด้วย  
ในพิธีนี้พระเจ้าแผ่นดินทรงรับแขกด้วยเครื่องหมากพลู  นางนพมาศได้คิด
ประดิษฐ์พานหมากสองชั้นร้อยกรองด้วยดอกไม้งดงาม  พระร่วงทรง
โปรดปรานและรับสั่งว่า  ต่อไปผู้ใดจะทำการมงคลก็ดี  รับแขกก็ดี   
ให้ใช้พานหมากรูปดังนางนพมาศประดิษฐ์ขึ้น  ซี่งเป็นต้นเหตุของพาน
ขันหมากเวลาแต่งงาน  ซึ่งยังคงใช้จนถึงปัจจุบัน


                ครั้งที่  ๓     นางได้ประดิษฐ์พนมดอกไม้  ถวายพระร่วงเจ้าเพื่อ
ใช้บูชาพระรัตนตรัย  พระร่วงทรงพอพระทัยในความคิดนั้น   ตรัสว่า
แต่นี้ต่อไปเวลามีพิธีเข้าพรรษาจะต้องบูชาด้วยพนมดอกไม้กอบัวนี้

ตำนานวันวาเลนไทน์

ประวัติความรักของนักบุญวาเลนไทน์ถูกบันทึกไว้ว่า

เมื่อปี ค.ศ. 813 จักรพรรดิโคลดิอุส แห่งจักรวรรดิโรมัน มีคำสั่ง ห้ามผู้ชายผู้หญิงแต่งงานกัน ด้วยพระองค์คิดว่า ผู้ชายแต่งงานมีครอบครัวเป็นทหารที่ดีไม่ได้ เพราะจิตใจจะผูกพันกับลูกเมียมากกว่าจะอุทิศตัวเพื่อทำสงคราม

ปรากฏว่านักบุญวาเลนไทน์ซึ่งครอบครองดินแดน "อินเตอแรมนา" แห่งจักรวรรดิโรมัน ฝ่าฝืนคำสั่งขององค์จักรพรรดิ จัดพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวต่อไปตามปกติ

เพราะนักบุญวาเลนไทน์เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึง ความรักของมนุษย์

ความรักที่บริสุทธิ์ ของหนุ่มสาวย่อมยืนยาวต่อไปด้วย การตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว

การห้ามไม่ให้ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนอยู่ด้วยกันจึงเป็นสิ่งที่ท่านรับไม่ได้

เมื่อความเข้าใจในความรักของนักบุญวาเลนไทน์รู้ไปถึงจักรพรรดิจึงถูกตัดสินประหารชีวิต

ขณะถูกคุมขังอยู่ในคุกเพื่อรอวันประหาร นักบุญวาเลนไทน์ ได้มีความรักกับหญิงสาวตาบอดชื่อ "แอสทีเรียส" ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้คุม

ด้วยความรักที่มีต่อหญิงสาวตาบอด นักบุญวาเลนไทน์อยากให้เธอได้มองเห็นโลกเช่นคนอื่นๆ และแน่นอนที่สุด อยากให้เธอมองเห็นนักบุญวาเลนไทน์ด้วย

ด้วยแรงศรัทธาแห่งรัก นักบุญวาเลนไทน์เฝ้ารักษาดวงตาของเธอจนสามารถมองเห็นเช่นคนทั่วไป แต่เธอก็มองเห็นนักบุญวาเลนไทน์ได้ไม่นานนัก นักบุญวาเลนไทน์ก็ต้องจากเธอไปสู่หลักประหาร

เขาถูกตีและตัดศีรษะจนเสียชีวิตในปี ค.ศ. 813 นั่นเอง

ก่อนเดินทางสู่หลักประหาร นักบุญวาเลนไทน์ได้เขียนข้อความถึงหญิงสาวที่เขารักสั้นๆ ว่า

"จาก.....วาเลนไทน์ของเธอ"

ตำนานความรักที่งดงามนี่เองที่ทำให้สันตปาปาเกลาลิอุส ประกาศให้วันแห่งความรักของชาวโรมันสมัยนั้นเป็นวันแห่งนักบุญวาเลนไทน์

เมื่อมีการกำหนดวันแห่งความรักขึ้นมาในยุคสมัยนี้ จึงมีชื่อของนักบุญวาเลนไทน์มาเป็นวันแห่งความรัก เรียกว่า "วันวาเลนไทน์"

ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์
กล่าวไว้ว่า ก่อนพุทธกาลมีเศรษฐีครอบครัวหนึ่ง อายุเลยวัยกลางคนก็ยังไร้ทายาทสืบสกุล ซึ่งทำให้ท่านเศรษฐีทุกข์ใจเป็นอันมาก ข้างรั้วบ้านเศรษฐีมีครอบครัวหนึ่ง หัวหน้าครอบครัวเป็นนักเลงสุรา ถ้าวันไหนร่ำสุราสุดขีด ก็จะพูดเสียงดังแสดงวาจาเยาะเย้ยเศรษฐีสบประมาทในความมีทรัพย์มาก แต่ไร้ทายาทสืบสมบัติเสมอ

วันหนึ่งเศรษฐีจึงถามว่ามีความขุ่นเคืองอะไร
จึงแสดงอาการเยาะเย้ยและสบประมาท เฒ่านักดื่มจึงตอบ ถึงท่านมั่งมีสมบัติมากก็จริง แต่เป็นคนมีบาปกรรมท่านจึงไม่มีบุตร ตายไปแล้วสมบัติก็ตกเป็นของผู้อื่นหมด สู้เราไม่ได้ถึงแม้จะยากจนแต่ก็มีบุตรคอยดูแลรักษายามเจ็บไข้ และรักษาทรัพย์สมบัติเมื่อเราสิ้นใจ




ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

นับแต่นั้นมา เศรษฐียิ่งมีความเสียใจ
จึงพยายามไปบวงสรวงพระอาทิตย์และพระจันทร์ เพียรพยายามตั้งจิตอธิษฐานขอบุตร ทำเช่นนี้เป็นเวลาติดต่อกันถึงสามปี ก็ไม่ได้บุตรดังที่ตนปรารถนา จนวันหนึ่งเป็นวันนักขัตฤกษ์สงกรานต์ ท่านเศรษฐีก็พาข้าทาสบริวารของตนมาที่โคนต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่ง ที่อยู่บนฝั่งแม่น้ำที่อาศัยของนกทั้งหลาย ท่านเศรษฐีให้บริวารล้างข้าวสารด้วยน้ำสะอาดถึง 7 ครั้ง แล้วจึงหุงข้าวสารนั้น เมื่อสุกแล้วยกขึ้นบูชาพระไทร

เทพเหล่านั้นเกิดความสงสาร
จึงขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ ทูลขอบุตรแก่เศรษฐี พระอินทร์จึงบัญชาให้เทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ “ธรรมบาล” ลงมาเกิดในครรภ์ของภรรยาเศรษฐี เมื่อครบกำหนดภรรยาเศรษฐีก็คลอดบุตรเป็นชาย เศรษฐีจึงตั้งชื่อว่า ธรรมบาลกุมาร เพื่อตอบสนองพระคุณเทพเทวา เศรษฐีจึงสร้างปราสาทสูง 7 ชั้น ถวายเทพต้นไทร




ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์


เมื่อธรรมบาลกุมารเจริญวัยขึ้น
เป็นเด็กที่มีปัญญาเฉียบแหลม รอบรู้ และวัยเพียง 7 ขวบก็เรียนจบไตรเพท ยังมีเทพองค์หนึ่งชื่อ “ท้าวกบิลพรหม” ได้ยินกิตติศัพท์ทางสติปัญญาอันยอดเยี่ยมของเด็กน้อย จึงคิดทดลองภูมิปัญญาโดยการเอาชีวิตเป็นเดิมพันจึงถามปัญหา 3 ข้อ ถ้ากุมารน้อยแก้ปัญหาทั้ง 3 ข้อได้ กบิลพรหมจะตัดศีรษะของตนบูชา ถ้าธรรมบาลแก้ไม่ได้ ก็จะต้องเสียหัวเพื่อยอมรับความพ่ายแพ้

ปัญหานั้นมีว่า
1. ตอนเช้าราศีคนอยู่แห่งใด

2. ตอนเที่ยงราศีของคนอยู่แห่งใด

3. ตอนค่ำราศีของคนอยู่แห่งใด

เมื่อได้ฟังปัญหาแล้ว ธรรมบาลไม่อาจทราบคำตอบในทันทีได้ จึงผลัดวันตอบปัญหาไปอีก 7 วัน ครั้นเวลาล่วงจากนั้นไป 6 วัน ธรรมบาลกุมารก็ยังคิดหาคำตอบปัญหานั้นไม่ได้ จึงหลบออกจากปราสาทหนีเข้าป่า และไปนอนพักเอาแรงใต้ต้นตาล


ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

ขณะนั้นบนต้นตาลมีนกอินทรีคู่หนึ่งอาศัยอยู่
นางนกถามสามีว่า “พรุ่งนี้เราจะไปหาอาหารที่ไหน” นกสามีก็ตอบว่า “พรุ่งนี้เราไม่ต้องบินไปไกล เพราะจะได้กินเนื้อธรรมบาลกุมาร ซึ่งจะถูกท้าวกบิลพรหมตัดหัว เนื่องจากแก้ปัญหาไม่ได้” นางนกถามว่า “ปัญหานั้นว่าอย่างไร”

นกสามีตอบว่า ปัญหามีอยู่ 3 ข้อ และหมายถึง
ข้อหนึ่ง ตอนเช้าราศีของมนุษย์อยู่ที่หน้า คนจึงต้องล้างหน้าทุกๆ เช้า

ข้อสอง ตอนเที่ยงราศีคนอยู่ที่อก มนุษย์จึงต้องเอาเครื่องหอมประพรมที่อก

ข้อสาม ตอนค่ำราศีคนอยู่ที่เท้า มนุษย์จึงต้องล้างเท้าก่อนเข้านอน



ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

ธรรมบาลกุมาร ได้ยินการไขปัญหาของนกอินทรี และจำจนขึ้นใจ
ทั้งนี้เพราะธรรมบาลรู้ภาษานก จึงกลับสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่แห่งตน รุ่งขึ้นเป็นวันครบกำหนดแก้ปัญหา ท้าวกบิลพรหมมาฟังคำตอบ ธรรมบาลกุมารกล่าวแก้ปัญหาตามที่นกอินทรีคุยกันทุกประการ
ท้าวกบิลพรหมจึงเรียก ธิดาทั้ง 7 ของตน
อันเป็นบริจาริกาคือหญิงรับใช้ของพระอินทร์มาพร้อมกัน แล้วบอกว่าตนจะตัดเศียรบูชาธรรมบาลกุมาร แต่ถ้าเอาศีรษะพ่อวางไว้บนแผ่นดินก็จะลุกไหม้ไปทั้งโลก ถ้าจะโยนขึ้นไปบนอากาศ อากาศจะแห้งแล้งฟ้าฝนจะหายไปสิ้น ถ้าทิ้งลงไปในมหาสมุทร น้ำในมหาสมุทรจะแห้งแล้งไปเช่นกัน



ตำนานเกี่ยวกับกำเนิดวันสงกรานต์

จึงสั่งให้ นางทั้ง 7 คน เอาพานมารองรับศีรษะ
แล้วจึงตัดศรีษะส่งให้นางทุงษธิดาคนโต นางทุงษจึงเอาพานรับเศียรบิดาไว้แล้วแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุ 60 นาที

แล้วอัญเชิญไปไว้ใน

มณฑปถ้ำคันธุรลี เขาไกรลาส บูชาด้วยเครื่องทิพย์ พระเวสสุกรรมก็เนรมิตโรงประดับด้วยแก้ว 7 ประการ ชื่อภควดี ให้เป็นที่ประชุมเทวดา เทวดาทั้งปวงก็เอาเถาฉมูนวดลงมาล้างในสระอโนดาต 7 ครั้ง แล้วก็แจกกันเสวยทุกๆ องค์

ครั้นครบ 365 วัน

โลกสมมุติว่าเป็นหนึ่งปีเป็นสงกรานต์ ธิดา 7 องค์ ของเท้ากบิลพรหมก็ผลัดเวรกันมาเชิญพระเศียรของพระบิดาออกแห่ประทักษิณรอบเขาพระสุเมรุทุกปี แล้วจึงกลับไป



พญากง พญาพาน

ตามนิยายปรัมปรา กล่าวถึงมูลเหตุการสร้างพระประโทนเจดีย์นี้ว่า พญาพาน ได้สร้างขึ้น
โดยมีเรื่องว่า เมื่อพญากงได้ครองเมืองศรีวิชัย คือ เมืองนครปฐมในปัจจุบันนี้
สืบต่อจากพระเจ้าสิการาชผู้เป็นพระราชบิดาแล้ว
ต่อมาได้มีพระราชบุตร ที่ประสูติจากพระมเหสีองค์หนึ่ง
โหรได้ถวายคำพยากรณ์ พระราชกุมาร ว่าจะเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก
จะได้ครองราชสมบัติ เป็นกษัตริย์ต่อไปในภายหน้า
แต่ว่าพระราชกุมารนี้จะกระทำปิตุฆาต คือ ฆ่าพ่อ
เมื่อพญากงได้ทราบดังนั้น จึงรับสั่งให้ราชบุรุษพา พระราชกุมารไปฆ่าทิ้งเสียในป่า
ราชบุรุษจึงนำไปทิ้งไว้ที่ป่าไผ่ ที่ไร่ของยายหอม
ยายพรมไปพบพระราชกุมาร จึงเก็บมาเลี้ยงไว้ แต่ยายพรมมีลูกหลานมาก
จึงยกพระราชกุมารให้ยายหอมไปเลี้ยงไว้
ยายหอมได้เลี้ยงพระราชกุมาร แล้วนำไปให้เจ้าเมืองราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม
แต่เมืองราชบุรีเป็นเมืองขึ้นของเมืองศรีวิชัย อยู่ภายหลังพระราชกุมารเติบโตขึ้น
ได้แข็งเมืองไม่ยอมส่งบรรณาการ และได้ท้ารบกับพระยากง
จนได้ชนช้างกัน เมื่อฆ่าพญากงสำเร็จแล้วได้เข้าเมืองศรีวิชัย
เวลานั้นพระมเหสีของพญากงซึ่งเป็นพระชนนีของพญาพาน
ยังมีพระชนม์อยู่ กล่าวกันว่ารูปโฉมสวยงาม พญาพานคิดอยากได้เป็นมเหสี
ได้เสด็จเข้าไปที่ตำหนัก เทพยดาได้แปลงเป็นแพะบ้าง บ้างก็แปลงเป็นแมวแม่ลูกอ่อน
นอนขวางบันไดปราสาทอยู่ เมื่อพญาพานข้ามสัตว์ทั้งสองนั้นไป
สัตว์จึงพูดกับแม่ว่า ท่านเห็นพวกเราเป็นเดรัจฉานจึงข้ามไป
แม่ตอบลูกว่า นับประสาอะไรกับเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน
แม้แต่มารดาของท่าน ท่านยังจะเอาเป็นเมีย
พญาพานได้ฟังดังนั้นก็ประหลาดพระทัยนัก
จึงทรงตั้งอธิษฐานว่า ถ้าพระมเหสีของพระยากงเป็นพระมารดาของเราจริงแล้ว
ขอให้น้ำนมหลั่งออกจากถันทั้งสองข้างให้ปรากฏ
ถ้าไม่ใช่พระมารดาของเราก็ขออย่าให้น้ำนมไหลออกมาเลย
พญาพานตั้งอธิษฐานแล้ว น้ำนมได้หลั่งออกมาจากถันเป็นที่ประจักษ์แก่สายตา
พญาพานจึงได้ไต่ถาม ได้ความว่าเป็นพระมารดาจริงแล้ว
ก็ทรงดื่มกินน้ำนม และทรงทราบว่าพญากงเป็นพระราชบิดา
จึงโกรธยายหอมว่า มิได้บอกให้ตนทราบว่าเป็นบุตรใคร
จนได้ทำบาปถึงฆ่าพ่อ แล้วได้ไปเรียกยายหอมมา แล้วจับยายหอมฆ่าเสีย
คนทั้งปวงจึงเรียกพระราชกุมารว่า พญาพาล เพราะไม่รู้จักบุญคุณคน
และบ้างก็เรียก พญาพาน เพราะเมื่อเวลาเกิดนั้น พระพักตร์กระทบพานทองเป็นแผล
เมื่อพญาพานฆ่ายายหอมแล้ว รู้สึกเสียพระทัย ว่าฆ่าผู้มีพระคุณเสียแล้วอีกคนหนึ่ง
จึงได้ถามสมณพราหมณาจารย์ว่าจะทำอย่างไร
จึงจะล้างบาปในการฆ่าพระราชบิดาและฆ่ายายหอม ผู้ที่ได้เลี้ยงตนมาแต่เยาว์วัย
พระสงฆ์ก็ได้ถวายพระพรว่า ให้สร้างเจดีย์สูงแค่นกเขาเหิน
จึงได้สร้างพระปฐมเจดีย์ขึ้นเพื่อล้างบาปที่ฆ่าพ่อ
และสร้างพระประโทณเจดีย์ขึ้นเพื่อล้างบาปที่ฆ่ายายหอม ตั้งแต่นั้นมา 

วันจันทร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คำซ้ำ

คำซ้ำ   คือ  คำที่เกิดจากการซ้ำเสียงคำเดียวกันตั้งแต่   ๒ หน ขึ้นไป  เพื่อทำให้เกิด        
                                     คำใหม่ได้ความหมายใหม่   เช่น  ดำ  ๆ      หวาน  ๆ    คอยค้อยคอย
                                                                       
                                        ชนิดของคำไทยที่เอามาซ้ำกัน 
                                      ในภาษาไทยเราสามารถเอาคำทุกชนิดมาซ้ำได้   ดังนี
                                       ๑. ซ้ำคำนาม        เช่น พี่  ๆ    น้อง ๆ    เด็ก ๆ   
                                       ๒. ซ้ำคำสรรพนาม  เช่น เขา  ๆ   เรา ๆ     คุณ ๆ
                                       ๓. ซ้ำคำวิเศษณ์    เช่น เร็ว  ๆ   ไว  ๆ    ช้า  ๆ
                                       ๔. ซ้ำคำกริยา      เช่น นั่ง  ๆ   นอน  ๆ     เดิน  ๆ
                                       ๕. ซ้ำคำบุรพบท   เช่น ใกล้  ๆ   ไกล   ๆ   เหนือ  ๆ
                                       ๖. ซ้ำคำสันธาน    เช่น ทั้ง  ๆ   ที่     เหมือน   ๆ     ราว   ๆ    กับ
                                       ๗. ซ้ำคำอุทาน     เช่น โฮ  ๆ     กรี๊ด  ๆ
                                                              
                                  ลักษณะของการซ้ำคำในภาษาไทย

       ๑. ซ้ำคำเดียวกัน   ๒  หน  ระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิม  เช่น  เร็ว  ๆ  หนุ่ม  ๆ    หนัก  ๆ   เบา ๆ                      
       ๒. ซ้ำคำเดียวกัน   ๒   หน  โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า  เช่น  ว้าน  หวาน  นักหนา    
            จ๊นจน   อร้อยอร่อย
       ๓. ซ้ำคำเดียวกัน   ๓  หน  โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำกลาง เช่น  ดีดี๊ดี คมค้มคม จืดจื๊ด จืด   สวย  ซ้วยสวย
       ๔. ซ้ำคำประสม  ๒  พยางค์  ๒  หน  โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่พยางค์   หลังของคำหน้า  เช่น 
              เจ็บใจ๊เจ็บ
       ๕. ซ้ำคำเดียวกัน   ๒   หน     ระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิมแต่เกิดการกร่อนเสียงขึ้นอย่างที่บาลีเรียกว่า 
           อัพภาส  และสันสกฤตเรียกว่า   อัภยภาส   เช่น  ลิ่ว ๆ  เป็น   ละลิ่ว    ครืน ๆ  เป็น   คระครืน
            ซึ่งโดยมากใช้ในคำประพันธ์
  
                       ลักษณะความหมายของ
       ๑. บอกความหมายเป็นพหูพจน์  มักเป็นคำนามและสรรพนาม   เช่น
           เด็ก  ๆ  กำลังร้องเพลง พี่  ๆ  ไปโรงเรียน  หนุ่ม  ๆ  กำลังเล่นฟุตบอล
       ๒. บอกความหมายเป็นเอกพจน์   แยกจำนวนออกเป็นส่วน  ๆ   มักเป็นคำลักษณะ
           นาม   เช่นล้างชามให้สะอาดเป็นใบ  ๆ  ไสกบไม้ให้เป็นแผ่น  ๆ
       ๓. เน้นความหมายของคำเดิม   มักเป็นคำวิเศษณ์   เช่นพูดดัง  ๆ  ฟังดี  ๆ 
           นั่งนิ่ง  ๆ ถ้าต้องการเน้นให้เป็นจริงเป็นจังอย่างมั่นใจมากขึ้น   
           เราก็เน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า  เช่น เสียงดั้งดัง พูดดี๊ดี  ช่างเงี้ยบเงียบ
       ๔. ลดความหมายของคำเดิม  มักเป็นคำวิเศษณ์บอกสี   เช่นเสื้อสีแดง  ๆ 
           กางเกงสีดำ  ๆ  บ้านสีขาว ๆแต่ถ้าเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า   
           ก็จะเป็นการเน้นความหมายของคำเดิม  เช่น เสื้อสีแด๊งแดง กางเกงสีด๊ำดำ บ้านสีค้าวขาว
       ๕. บอกความหมายโดยประมาณทั้งที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ ดังนี้
           ก. บอกเวลาโดยประมาณ   เช่น สมศรีชอบเดินเล่นเวลาเย็น  ๆ, เขาตื่นเช้าๆ เสมอ, น้ำค้างจะลงหนักเวลาดึก  ๆ
           ข. บอกสถานที่โดยประมาณ   เช่น มีร้านขายหนังสือแถว  ๆ   สี่แยก , รถคว่ำกลาง  ๆ   สะพาน
               ต้นประดู่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ  โรงเรียน
        ๖. บอกความหมายสลับกัน  เช่น เขาเดินเข้า  ๆ   ออก  ๆ อยู่ตั้งนานแล้ว
           ฉันหลับ  ๆ  ตื่น  ๆ   ตลอดคืน สมหมายได้แต่นั่ง  ๆ   นอน  ๆ    ทั้งวัน
        ๗. บอกความหมายเป็นสำนวน  เช่นงู   ๆ   ปลา  ๆดี  ๆ      ชั่ว   ๆ
             ไปๆ  มา  ๆถู  ๆ  ไถ   ๆ
        ๘. บอกความหมายแสดงการเปรียบเทียบชั้นปกติ    ชั้นกว่า    และขั้นสุด    เช่น
                 ขั้นปกติ  ขั้นกว่า  ขั้นสุด
                 หลวม ๆ หลวม  ล้วมหลวม
                 เบา ๆ  เบา  เบ๊าเบา
             การสร้างคำแบบคำประสม  คำซ้อน  และคำซ้ำ   นี้เป็นวิธีการสร้างคำที่เป็น
             ระเบียบวิธีของภาษาไทยของเราเอง   แต่การสร้างคำใหม่ในภาษาไทยไม่ได้มี 
             เพียง  ๔   วิธีเท่านั้น เรายังมีวิธีการสร้างคำใหม่  ๆ  ขึ้นใช้ในภาษาไทยด้วย วิธีการอื่น   ๆ  อีก 

คำซ้อน

คำซ้อน    คือคำที่เกิดจากคำมูลตั้งแต่  2  คำขึ้นไปซึ่งมีความหมายเหมือนกันหรือไปในทำนองเดียวกันหรือมีความหมายต่างกันในลักษณะตรงข้าม มารวมกันทำให้เกิดคำใหม่ขึ้นมาคำมูลที่นำมาซ้อนกันอาจเป็นนาม  กริยา  หรือวิเศษณ์ก็ได้  คำมูลเหล่านี้ต้องประกอบกับคำชนิดเดียวกัน คือเป็นคำนามด้วยกัน หรือกริยาด้วยกัน และทำหน้าที่ได้ต่างๆ เช่นเดียวกับชนิดของคำมูลที่นำมาซ้อนกันเช่น
นามกับนาม  เช่น เนื้อตัว  เรือแพ  ลูกหลาน  เสื่อสาด  หูตา  
กริยากับกริยา เช่น ทดแทน ชมเชย เรียกร้อง ว่ากล่าว สั่งสอน
วิเศษณ์กับวิเศษณ์ เช่น เข้มงวด แข็งแกร่ง ฉับพลัน  ซีดเซียว  เด็ดขาดคำมูลที่นำมาซ้อนกันอาจเป็นคำมาจากภาษาใดก็ได้  อาจเป็นคำไทยกับคำไทย  คำไทยกับคำที่มาจากภาษาอื่น หรือเป็นคำที่มาจากภาษาอื่นทั้งหมด เช่น
คำไทยกับคำไทย   เช่น  ผักปลา  เลียบเคียง  อ่อนนุ่ม   อ้อนวอน
คำไทยกับคำเขมร  เช่น  แบบฉบับ  พงไพร  หัวสมอง  แจ่มจรัส
คำไทยกับคำบาลีสันสกฤต เช่น  เขตแดน โชคลาง  พรรคพวก ศรีสง่า หมู่คณะ
คำเขมรกับคำเขมร เช่น ขจัดขจาย  เฉลิมฉลอง
คำบาลีสันสกฤตกับคำบาลีสันสกฤต เช่น  สรงสนาน  ตรัสประภาษ  เสบียงอาหาร
คำมูลที่นำมาซ้อนกัน  ส่วนมากเป็นคำมูล  2  คำ  ถ้ามากกว่านั้นมักเป็นคำมูล  4  คำ หรือ  6คำ
คำมูล  2  คำ  เช่น ข้าวปลา  นิ่มนวล  ปากคอ  ฟ้าฝน  หน้าตา
คำมูล  4 คำ  อาจมีสัมผัสกลางหรือซ้ำเสียง เช่น ได้หน้าลืมหลัง   กู้หนี้ยืมสิน  ยากดีมีจนมากหมอมากความ ไปวัดไปวา  ต้อนรับขับสู้
คำมูล  6  คำ  มักมีสัมผัสระหว่างกลาง เช่น  คดในข้องดในกระดูก  จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ชั่วเจ็ดทีดีเจ็ดหน

คำสนธิ

คำสนธิ
          คำสนธิในภาษาไทยหมายถึงคำที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต มาเชื่อมต่อกัน ทำให้เสียงพยางค์หลังของคำแรกกลมกลืนกันกับเสียงพยางค์แรกของคำหลัง
 
สนธิมี 3 ลักษณะ คือ
          1. สระสนธิ
          2. พยัญชนะสนธิ
          3. นิคหิตสนธิ

๑. สระสนธิ คือการกลมกลืนคำด้วยเสียงสระ เช่น
วิทย+อาลัย = วิทยาลัย
พุทธ+อานุภาพ = พุทธานุภาพ
มหา+อรรณพ = มหรรณพ
นาค+อินทร์ = นาคินทร์
มัคค+อุเทศก์ = มัคคุเทศก์
พุทธ+โอวาท = พุทโธวาท
รังสี+โอภาส = รังสิโยภาส
ธนู+อาคม = ธันวาคม

๒. พยัญชนะสนธิ เป็นการกลมกลืนเสียงระหว่างพยัญชนะกับพยัญชนะ ซึ่งไม่ค่อยมีใช้ในภาษาไทย เช่น
รหสฺ + ฐาน = รโหฐาน
มนสฺ + ภาว = มโนภาว (มโนภาพ)
ทุสฺ + ชน = ทุรชน
นิสฺ + ภย = นิรภัย

๓. นฤคหิตสนธิ ได้แก่การเชื่อมคำที่ขึ้นต้นด้วยนฤคหิตหรือพยางค์ท้ายของคำหน้าเป็น นฤคหิต กับคำอื่นๆ เช่น
สํ + อุทัย = สมุทัย
สํ + อาคม = สมาคม
สํ + ขาร = สังขาร
สํ + คม = สังคม
สํ + หาร = สังหาร
สํ + วร = สังวร

หลักการสังเกต
          ๑. คำสนธิต้องเป็นคำบาลี สันสกฤตเท่านั้น
          ๒. เมื่อนำคำมาสนธิกันแล้ว จะกลายเป็นคำเดียว และจะต้องแปลจากคำหลังมาคำหน้า
          ๓. คำที่จะนำมาสนธิกัน จะต้องมีทั้งสระหน้าและสระหลัง
          ๔. เมื่อสนธิแล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงพยัญชนะ สระ หรือนิคหิตที่เชื่อมเสมอ 

คำบาลี สันสกฤต

สันสกฤต บาลี
  1.  สระสันสกฤต แปลกจากบาลี6 ตัว คำใดประสมด้วย
       สระ  ฤ  ฤา  ลึ  ลื  ไอ  เอา  เป็นคำในภาษาสันสกฤต   
2. คำใดประสมด้วย  ศ  ษ  มีในภาษาสันสกฤต  ไม่มีใน
      ภาษาบาลี  เช่น  อภิเษก  ศีรษะ  อวกาศ  ศัตรู  ศิลปะ
      ราษฎร  ศอก  ศึก  อังกฤษ  ศึกษาศาสตร์ 
 
3. คำสันสกฤต ใช้  ฑ  เช่น  กรีฑา 
      คำสันสกฤต  ไม่นิยมใช้  ฬ 

 4.  คำในภาษาสันสกฤตมีระบบเสียงควบกล้ำ หรือ
       พยัญชนะประสม  คำควบกล้ำจึงมักเป็นคำภาษา
       สันสกฤต  เช่น  สตรี  ปรารถนา  สวัสดี  สมัคร  มาตรา
       อินทรา

 5. ตัว ร ที่ควบกับคำอื่นและใช้เป็นตัวสะกด 
       เช่น  มรรคสรรพ มารค 
   6. คำที่ใช้  ห์  มักเป็นคำที่มาจากภาษาสันสกฤต 
       เช่น   สังเคราะห์   โล่ห์  อุตส่าห์ เท่ห์ เล่ห์  เสน่ห์
   7. ฤ  (ฤทธิ)  ในสันสกฤต จะเป็น อิทธิ  (อิ อุ)
  
สรุป :- ศึกษา รักนางมณโฑ ควบ หอการันต์โชว์ไอเอา ฤ ฤา
   1. คำในภาษาบาลีไม่มีสระเหล่านี้   สระบาลี 8 ตัว คือ
     อ  อา อิ  อี  อี  อุ  อู  เอ  โอ       

 2. คำที่มาจากภาษาบาลีควรใช้   ส  ทั้งหมด

3. คำสันสกฤต  ไม่นิยมใช้  ฬ  ดังนั้นคำที่มี  ฬ  จึงมักเป็นคำภาษาบาลี  เช่น  กีฬา  กาฬ  โกวิฬาร  กักขฬะ 
ประวาฬ
4. ภาษาบาลีไม่มีพยัญชนะประสมหรือควบกล้ำ
5.  คำที่ไทยใช้  รร   ไม่ใช่คำที่มีจากบาภาษาบาลี 
6.  บาลีใช้  ริ  เช่น  อริยะ -  จริยะ   
7. อิ อุ ในบาลี เช่น อิทธิ จะเป็น ฤ เช่น ฤทธิ์ ในบาลี
ตัวอย่างคำสันสกฤต ตัวอย่างคำบาลี
       อังกฤษ  ศึก  ศอก  พฤกษ์  ประพฤติ  ศาสนา  เกษม  ดรรชนี  วิทยุ  ประจิม  ธรรมศาสตร์  เกษตร  ศิลปากร  วัชระ  สัตย์  มฤตยู    อินทร์  อัคนี  ภัสดา  มัธยม  ศึกษาศาสตร์  ศากยะ  กษัตริย์  พิสดาร  พฤษภ  ปราณี  สวรรค์  กรรม  ฤทธิ์  ศรี  รัศมี  อภิเษก  เกษียณ  หฤทัย  คฤหาสน์  วิทยา  เสนา  เลขา  เสวก  พิษ  มนุษย์  กรีฑา  ครุฑ  อิศวร  วิเศษ  วิศาล  วิเศษ  สวามี  เนตร สตรี  อยุธยา อาศรม อาศัย  ราษฎร ฤษี สัตว์  กระดาษ  ดาษดา  พิศ  เลิศ  บำราศ  ปราศ พฤศจิกายน  อัศจรรย์  โอษฐ์  กฤษณา  พัสดุ  เกษียร    อาญา  สามัญ  วิชา  อิสิ  จริยา  ฐาปนา  สันติ  วัฒนา  บุญ  เวช  สิทธิ  จุฬา สิกขา  อัคคี  นิสิต  สงฆ์  ทุกข์  มัจฉา  รังสี  รัฐ  วิชา  โอฬาร  กิริยา  สมภาร    โมลี  วชิระ  ปฐม  เรขา  เสนา โอสถ  ปิตุ ปัจฉิม  วิชชา  ญาณ  ฐาน  วุฑฒิ  ถาวร วิตถาร  ตัณหา  ญาติ  สิกขา  มัชฌิมา  นิพพาน  กีฬา  จุฬา  สามี ปฏิเสธ  สาวก สามัญ  ขณะ อุตุ  นิจ สัจจ มัจฉาหลักการใช้  กับ  แก่  แด่   ต่อกับ ใช้เมื่อประธานและกรรมทำกริยาร่วมกัน  เช่น  แม่จะไปกับพ่อแก่ ใช้เมื่อประธานทำกริยาฝ่ายเดียว และ นามนามที่ตามมาเป็นผู้ปฏิบัติ เช่น เขาให้ของขวัญแก่พ่อใช้เกี่ยวกับการบอก  เช่น  เขาแจ้งแก่ที่ประชุมว่าเขาขอลาออกใช้เกี่ยวกับการให้  เช่น  สมศักดิ์ได้บริจาคเงินแก่โรงพยาบาลแด่ ใช้เกี่ยวกับการให้  เมื่อผู้น้อยให้ของผู้ใหญ่ เช่น  นักเรียนมอบของขวัญแด่ครูต่อ ใช้แสดงว่ามีฝ่ายรับหากสิ่งที่รับเป็นถ้อยคำ ผู้รับมักมีฐานะหรือตำแหน่งที่สูงกว่า เช่นเสนอต่อผู้บังคับบัญชา  ยื่นคำร้องขอต่อศาล สิ่งที่ได้รับอาจเป็นการกระหรือความรู้สึก เช่น
ปรารถนาดีต่อศิษย์ หรือเป็นความสัมพันธ์บางประการ เช่น มีประโยชน์ต่อร่างกายหลักการใช้  ที่  ซึ่ง  อัน  ว่าที่ ใช้จำกัดความหมายให้แคบเข้า หรือใช้บอกเหตุผล   เช่น  เด็กที่ยืนข้าง ๆเป็นลูกชาย  เสียใจที่สอบตกซึ่ง ใช้ขยายความหมาย  เช่น เหลียวหาลูกชายซึ่งยืนอยู่ข้างอัน มักใช้แก่นามธรรม เช่น  ศีลธรรมอันดี
ว่า ใช้บอกเนื้อความ   เช่น บอกว่าจะมา
   พยางค์   คือ   ส่วนหนึ่งของคำหรือหน่วยเสียงประกอบด้วยสระตัวเดียวจะมีความหมายหรือไม่มีก็ได้ 
        พยางค์หนึ่งมีส่วนประสมต่าง ๆ คือ
        1. พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์   เช่น   ตา   ดี   ไป   นา
        2. พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด  เช่น   คน   กิน   ข้าว   หรือพยัญชนะ + สระ +วรรณยุกต์ + ตัวการันต์   เช่น    เล่ห์
       3.  พยัญชนะ + สระ + วรรณยุกต์ + ตัวสะกด + ตัวการันต์     เช่น   รักษ์   สิทธิ์   โรจน์
            พยางค์แบบนี้เรียกว่า   ประสม  5   ส่วน