คำซ้ำ คือ คำที่เกิดจากการซ้ำเสียงคำเดียวกันตั้งแต่ ๒ หน ขึ้นไป เพื่อทำให้เกิด
คำใหม่ได้ความหมายใหม่ เช่น ดำ ๆ หวาน ๆ คอยค้อยคอย ชนิดของคำไทยที่เอามาซ้ำกัน
ในภาษาไทยเราสามารถเอาคำทุกชนิดมาซ้ำได้ ดังนี
๑. ซ้ำคำนาม เช่น พี่ ๆ น้อง ๆ เด็ก ๆ
๒. ซ้ำคำสรรพนาม เช่น เขา ๆ เรา ๆ คุณ ๆ
๓. ซ้ำคำวิเศษณ์ เช่น เร็ว ๆ ไว ๆ ช้า ๆ
๔. ซ้ำคำกริยา เช่น นั่ง ๆ นอน ๆ เดิน ๆ
๕. ซ้ำคำบุรพบท เช่น ใกล้ ๆ ไกล ๆ เหนือ ๆ
๖. ซ้ำคำสันธาน เช่น ทั้ง ๆ ที่ เหมือน ๆ ราว ๆ กับ
๗. ซ้ำคำอุทาน เช่น โฮ ๆ กรี๊ด ๆ
๑. ซ้ำคำนาม เช่น พี่ ๆ น้อง ๆ เด็ก ๆ
๒. ซ้ำคำสรรพนาม เช่น เขา ๆ เรา ๆ คุณ ๆ
๓. ซ้ำคำวิเศษณ์ เช่น เร็ว ๆ ไว ๆ ช้า ๆ
๔. ซ้ำคำกริยา เช่น นั่ง ๆ นอน ๆ เดิน ๆ
๕. ซ้ำคำบุรพบท เช่น ใกล้ ๆ ไกล ๆ เหนือ ๆ
๖. ซ้ำคำสันธาน เช่น ทั้ง ๆ ที่ เหมือน ๆ ราว ๆ กับ
๗. ซ้ำคำอุทาน เช่น โฮ ๆ กรี๊ด ๆ
ลักษณะของการซ้ำคำในภาษาไทย
๑. ซ้ำคำเดียวกัน ๒ หน ระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิม เช่น เร็ว ๆ หนุ่ม ๆ หนัก ๆ เบา ๆ
๒. ซ้ำคำเดียวกัน ๒ หน โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า เช่น ว้าน หวาน นักหนา
จ๊นจน อร้อยอร่อย
๓. ซ้ำคำเดียวกัน ๓ หน โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำกลาง เช่น ดีดี๊ดี คมค้มคม จืดจื๊ด จืด สวย ซ้วยสวย
๔. ซ้ำคำประสม ๒ พยางค์ ๒ หน โดยเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่พยางค์ หลังของคำหน้า เช่น
เจ็บใจ๊เจ็บ
๕. ซ้ำคำเดียวกัน ๒ หน ระดับเสียงวรรณยุกต์คงเดิมแต่เกิดการกร่อนเสียงขึ้นอย่างที่บาลีเรียกว่า
อัพภาส และสันสกฤตเรียกว่า อัภยภาส เช่น ลิ่ว ๆ เป็น ละลิ่ว ครืน ๆ เป็น คระครืน
ซึ่งโดยมากใช้ในคำประพันธ์
ลักษณะความหมายของ
๑. บอกความหมายเป็นพหูพจน์ มักเป็นคำนามและสรรพนาม เช่น
เด็ก ๆ กำลังร้องเพลง พี่ ๆ ไปโรงเรียน หนุ่ม ๆ กำลังเล่นฟุตบอล
๒. บอกความหมายเป็นเอกพจน์ แยกจำนวนออกเป็นส่วน ๆ มักเป็นคำลักษณะ
นาม เช่นล้างชามให้สะอาดเป็นใบ ๆ ไสกบไม้ให้เป็นแผ่น ๆ
๓. เน้นความหมายของคำเดิม มักเป็นคำวิเศษณ์ เช่นพูดดัง ๆ ฟังดี ๆ
นั่งนิ่ง ๆ ถ้าต้องการเน้นให้เป็นจริงเป็นจังอย่างมั่นใจมากขึ้น
เราก็เน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า เช่น เสียงดั้งดัง พูดดี๊ดี ช่างเงี้ยบเงียบ
๔. ลดความหมายของคำเดิม มักเป็นคำวิเศษณ์บอกสี เช่นเสื้อสีแดง ๆ
กางเกงสีดำ ๆ บ้านสีขาว ๆแต่ถ้าเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า
ก็จะเป็นการเน้นความหมายของคำเดิม เช่น เสื้อสีแด๊งแดง กางเกงสีด๊ำดำ บ้านสีค้าวขาว
๕. บอกความหมายโดยประมาณทั้งที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ ดังนี้
ก. บอกเวลาโดยประมาณ เช่น สมศรีชอบเดินเล่นเวลาเย็น ๆ, เขาตื่นเช้าๆ เสมอ, น้ำค้างจะลงหนักเวลาดึก ๆ
ข. บอกสถานที่โดยประมาณ เช่น มีร้านขายหนังสือแถว ๆ สี่แยก , รถคว่ำกลาง ๆ สะพาน
ต้นประดู่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน
๖. บอกความหมายสลับกัน เช่น เขาเดินเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ตั้งนานแล้ว
ฉันหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน สมหมายได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน
๗. บอกความหมายเป็นสำนวน เช่นงู ๆ ปลา ๆดี ๆ ชั่ว ๆ
ไปๆ มา ๆถู ๆ ไถ ๆ
๘. บอกความหมายแสดงการเปรียบเทียบชั้นปกติ ชั้นกว่า และขั้นสุด เช่น
ขั้นปกติ ขั้นกว่า ขั้นสุด
หลวม ๆ หลวม ล้วมหลวม
เบา ๆ เบา เบ๊าเบา
การสร้างคำแบบคำประสม คำซ้อน และคำซ้ำ นี้เป็นวิธีการสร้างคำที่เป็น
ระเบียบวิธีของภาษาไทยของเราเอง แต่การสร้างคำใหม่ในภาษาไทยไม่ได้มี
เพียง ๔ วิธีเท่านั้น เรายังมีวิธีการสร้างคำใหม่ ๆ ขึ้นใช้ในภาษาไทยด้วย วิธีการอื่น ๆ อีก
เด็ก ๆ กำลังร้องเพลง พี่ ๆ ไปโรงเรียน หนุ่ม ๆ กำลังเล่นฟุตบอล
๒. บอกความหมายเป็นเอกพจน์ แยกจำนวนออกเป็นส่วน ๆ มักเป็นคำลักษณะ
นาม เช่นล้างชามให้สะอาดเป็นใบ ๆ ไสกบไม้ให้เป็นแผ่น ๆ
๓. เน้นความหมายของคำเดิม มักเป็นคำวิเศษณ์ เช่นพูดดัง ๆ ฟังดี ๆ
นั่งนิ่ง ๆ ถ้าต้องการเน้นให้เป็นจริงเป็นจังอย่างมั่นใจมากขึ้น
เราก็เน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า เช่น เสียงดั้งดัง พูดดี๊ดี ช่างเงี้ยบเงียบ
๔. ลดความหมายของคำเดิม มักเป็นคำวิเศษณ์บอกสี เช่นเสื้อสีแดง ๆ
กางเกงสีดำ ๆ บ้านสีขาว ๆแต่ถ้าเน้นระดับเสียงวรรณยุกต์ที่คำหน้า
ก็จะเป็นการเน้นความหมายของคำเดิม เช่น เสื้อสีแด๊งแดง กางเกงสีด๊ำดำ บ้านสีค้าวขาว
๕. บอกความหมายโดยประมาณทั้งที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ ดังนี้
ก. บอกเวลาโดยประมาณ เช่น สมศรีชอบเดินเล่นเวลาเย็น ๆ, เขาตื่นเช้าๆ เสมอ, น้ำค้างจะลงหนักเวลาดึก ๆ
ข. บอกสถานที่โดยประมาณ เช่น มีร้านขายหนังสือแถว ๆ สี่แยก , รถคว่ำกลาง ๆ สะพาน
ต้นประดู่ใหญ่อยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน
๖. บอกความหมายสลับกัน เช่น เขาเดินเข้า ๆ ออก ๆ อยู่ตั้งนานแล้ว
ฉันหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน สมหมายได้แต่นั่ง ๆ นอน ๆ ทั้งวัน
๗. บอกความหมายเป็นสำนวน เช่นงู ๆ ปลา ๆดี ๆ ชั่ว ๆ
ไปๆ มา ๆถู ๆ ไถ ๆ
๘. บอกความหมายแสดงการเปรียบเทียบชั้นปกติ ชั้นกว่า และขั้นสุด เช่น
ขั้นปกติ ขั้นกว่า ขั้นสุด
หลวม ๆ หลวม ล้วมหลวม
เบา ๆ เบา เบ๊าเบา
การสร้างคำแบบคำประสม คำซ้อน และคำซ้ำ นี้เป็นวิธีการสร้างคำที่เป็น
ระเบียบวิธีของภาษาไทยของเราเอง แต่การสร้างคำใหม่ในภาษาไทยไม่ได้มี
เพียง ๔ วิธีเท่านั้น เรายังมีวิธีการสร้างคำใหม่ ๆ ขึ้นใช้ในภาษาไทยด้วย วิธีการอื่น ๆ อีก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น